ค่า CCA คืออะไร?

CCA (Cold Cranking Amperes) ถูกใช้อย่างกว้างขวางในการวัดค่าเพื่อเปรียบเทียบแบตเตอรี่ เพราะเมื่อค่า CCA ยิ่งสูง ยิ่งใช้งานได้ดี และยิ่งงานได้ยาวนาน ดังนั้น ผู้ผลิตส่วนใหญ่จึงผลิต ออกแบบแบตเตอรี่ให้มีค่า CCA ให้สูง ซึ่ง CCA เป็นการวัดกระแสไฟที่แบตเตอรี่ในการชาร์จ เมื่อถูกชาร์จจนเต็มในระยะเวลา 30 วินาที และรักษาแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 7.2 โวลต์ แต่ก็ไม่ใช่มาตรฐานที่ดีที่สุดสำหรับสภาพอากาศที่ร้อน หากที่อยู่อาศัยเป็นสภาพอากาศที่หนาวเย็น การให้คะแนนค่า CCA จึงมีความสำคัญอย่างมาก และถูกเข้มงวดมากกว่าที่อยู่อาศัยแถบสภาพอากาศที่อุ่น เพราะอุณหภูมิที่เย็นจัดส่งผลต่อของเหลวในแบตเตอรี่ โดยทำให้ปฏิกิริยาเคมีภายในแบตเตอรี่ทำงานช้าลง และส่งผลให้กระแสไฟฟ้าอ่อนลง

ดังนั้น อุณหภูมิต่ำจะทำให้น้ำมันเครื่องข้นขึ้น ทำให้สูบของเหลวผ่านบล็อกเครื่องยนต์ได้ยาก ในกรณีของเครื่องยนต์ดีเซล อุณหภูมิดังกล่าวจะทำให้น้ำมันดีเซลกลายเป็นเจล ถ้าค่า CCA ที่ต่ำลง นั่นแสดงว่าแบตเตอรี่มีพลังงานไม่เพียงพอในการเปิดไฟหน้า หรือ การสตาร์ทเครื่องยนต์ จึงทำให้ค่าของ CCA มีการประมาณค่าที่แม่นยำของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ จึงเป็นวิธีการกำหนดว่าแบตเตอรี่จะทำงานได้ดีเพียงใด หากใช้งานภายใต้อุณหภูมิที่ต่างกัน

โดยกำลังของแบตเตอรี่มักจะเสื่อมลงตามอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ฉะนั้น แบตเตอรี่สำรองก็ควรมีค่าเท่ากับหรือมากกว่า หากต้องเลือกแบตเตอรี่มาทดแทน ให้เลือกแบตเตอรี่ที่มีคะแนนค่า CCA 650 ขึ้นไป เพราะการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีค่า CCA ต่ำกว่าแบตเตอรี่ตัวอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง ถึงแม้ราคาจะสูงขึ้น แต่ก็ทำให้ปลอดภัยในการใช้งาน และมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูง มีระยะการใช้งานที่ยาวนานเช่นกัน

ผู้เขียน :  ธมนณัฏฐ ดวงมณีวิวัตน์

ช่างไฟดอทคอม
ช่างไฟที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *