เส้นใยแก้วนำแสง หรืออีกชื่อเรียกหนึ่งคือ สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) โดยมันเป็นสายสัญญาณที่ผลิตมาจากแก้วที่มีการหุ้มด้วยใยพิเศษ เพื่อป้องกันการกระแทกและฉนวนต่าง ๆ เป็นสายสัญญาณที่มีคุณสมบัติคล้ายกับท่อ โดยมันจะทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณแสงจากต้นทางไปยังปลายทาง โดยอุปกรณ์ต้นทางและปลายทางที่ว่านี้ก็จะทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณแสงให้กลายเป็นสัญญาณข้อมูลเพื่อนำไปใช้งาน
โดยเส้นใยแก้วนำแสง หรือ สายไฟเบอร์ออฟติกนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้
- Multi – Mode Optical Fiber (MM)
เป็นสายสัญญาณที่หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาที่ไม่แพง โดยมันเป็นสายสัญญาณที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางคอร์ขนาดใหญ่ โดยทั่วไปจะมีขนาด 50/125 และ 62.5/125 ไมครอน ทำให้สายสัญญาณชนิดนี้มีการสูญเสียของแสงมาก จึงมีความเร็วในการส่งข้อมูลไม่เกิน 100 Mbps ที่ความยาวคลื่น 850 nm สายสัญญาณชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับการส่งข้อมูลภายในอาคาร ที่มีระยะไกลไม่เกิน 2 กิโลเมตร ที่ความเร็วในการส่งข้อมูล 1000 Mbps และระยะสายไม่เกิน 550 เมตร เท่านั้น
- Single – Mode Optical Fiber (SM)
เป็นสายสัญญาณที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางคอร์ ขนาด 9/125 ไมครอน ซึ่งมีขนาดที่เล็กกว่าสายสัญญาณชนิด Multi – Mode Optical Fiber จึงทำให้มีการสูญเสียของแสงในสายที่น้อยกว่า มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 40 Gbps ที่ระยะทางไม่เกิน 20 กม. และ 10 Gbps ที่ระยะทางไม่เกิน 100 กม. จึงทำให้สายสัญญาณชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในการส่งข้อมูลสื่อสารโทรคมนาคม วงจรสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ เคเบิลทีวี หรือ กล้องวงจรปิด อีกทั้งในปัจจุบันยังถูกนำมาใช้ในส่งข้อมูลภายในอาคารอีกด้วย
เนื่องจากเส้นใยแก้วนำแสงนั้นมีต้นทุนที่ต่ำมาก อีกทั้งยังสามารถส่งข้อมูลได้ในปริมาณมากอีกด้วย และจากคุณสมบัตินี้เอง ทำให้เส้นใยแก้วนำแสงถูกนำมาใช้ในการส่งข้อมูลในโครงข่ายคอมพิวเตอร์ (Network) และใช้ในการสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ เนื่องจากการส่งข้อมูลผ่านสายไฟเบอร์ออฟติกนั้นสามารถส่งได้ในระยะทางไกล และสามารถส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก ตามขนาดของ Bandwidth ที่รองรับได้ อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบจากคลื่นสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าอีกด้วย