หลาย ๆ คนคงจะเคยสงสัยกันใช่ไหมว่า เวลาฝนตกหนัก ๆ ทีไร ไฟในบ้านถึงได้ชอบติด ๆ ดับ ๆ ทุกที หรือหนัก ๆ เข้าบางทีไฟก็ดับไปเลย ซึ่งก็สร้างความลำบากใจให้เราได้ไม่น้อยเลย เพราะนอกจากที่เราจะใช้ไฟในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้านได้แล้ว ยังใช้เครื่องปรับอากาศไม่ได้ด้วยเช่นกัน
วันนี้เราจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยกันว่า ทำไมฝนตกแล้วไฟถึงชอบดับ?
สาเหตุที่ทำให้ไฟดับเวลาที่ฝนตกนั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยสาเหตุแรกมาจากเวลาที่ฝนตก ก็มักจะเกิดพายุลมที่แรง ส่งผลให้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้แนวสายไฟฟ้าแรงสูงเอียงไปแตะหรือหักไปทับสายไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งสายไฟแรงสูงจะถูกเชื่อมต่อด้วยสายกราวด์ที่ไม่มีฉนวนหุ้ม และมีความชื้นจากฝนเป็นตัวนำ ทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลทำให้ไฟดับ นอกจากนั้นยังมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่มีความชื้น ก็จะมีโอกาสที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบมากขึ้น เนื่องจากมลภาวะและการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง และรวมไปถึงเสาไฟฟ้าที่เป็นเสาไม้ที่เกิดการผุ ทําให้เสาหักเองได้เมื่อโดนลมพายุ
นอกจากนี้ เวลาฝนตกและเกิดฟ้าผ่าลงที่หม้อแปลง ฟ้าอาจจะผ่าลงที่บริเวณอื่น ๆ ของระบบไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลทำให้แรงดันในระบบไฟฟ้าสูงขึ้นมาก จนในบางครั้งส่งผลให้หม้อแปลงเกิดระเบิดจนไฟดับได้เช่นกัน อีกทั้งเวลาที่ฝนตก เรามักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากถนนลื่นเพราะฝนที่ตกหนัก จนอาจจะทำให้ไปชนเสาไฟฟ้าแรงสูงเข้า ทำให้สายไฟฟ้าแรงสูงขาด จึงส่งผลทำให้ไฟดับได้เหมือนกัน ในบางครั้งฝนก็มักจะตกลงมาในวันที่มีอากาศร้อนมาก ๆ ส่งผลให้เมื่อลูกถ้วยที่รองรับสายไฟแรงสูงโดนฝนหยดใส่ในขณะที่เพิ่งไปสัมผัสกับอากาศที่ร้อนจัด ๆ มา ก็จะทำให้ลูกถ้วยมีรอยร้าวหรือรอยแตก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวตัดไฟ หรือฟิวส์ไฟแรงสูงตก ทำให้กระแสไฟไม่สามารถไหลผ่านไปได้ จึงทำให้กระแสไฟไม่เพียงพอ และทำให้ไฟดับในที่สุด
สาเหตุสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ ที่ทำให้ไฟดับเวลาที่ฝนตกมาจาก การขาดการบำรุงรักษาในระบบสายส่งกระแสไฟ คือเกิดออกไซด์ตามขั้วต่อสาย ทำให้เมื่อฝนตกหรือมีลมพายุแรงก็จะทำให้เกิดการหลวมตรงจุดนั้น ส่งผลให้กระแสไฟไม่สามารถไหลผ่านไปได้ เพราะเกิดความชื้นเปียก จึงทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบขึ้นนั่นเอง