หากไฟฟ้าในบ้านมีปัญหา อาจมีสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้:
- ไฟกะพริบหรือหรี่แสงเอง – หากไฟในบ้านหรี่หรือกะพริบบ่อยๆ อาจเกิดจากแรงดันไฟฟ้าไม่เสถียร หรือระบบเดินสายมีปัญหา
- เบรกเกอร์ตัดบ่อย – เบรกเกอร์ที่ตัดบ่อยโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนอาจเกิดจากวงจรไฟฟ้าโอเวอร์โหลด หรือมีอุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด
- กลิ่นไหม้หรือร้อนผิดปกติ – หากมีกลิ่นไหม้ออกจากปลั๊ก สวิตช์ หรือแผงไฟ อาจหมายถึงสายไฟลัดวงจรหรือเกิดความร้อนสูงผิดปกติ
- มีเสียงดังจากปลั๊กหรือสวิตช์ – เสียงซ่าๆ หรือเสียงแตกที่มาจากเต้าเสียบหรือสวิตช์ไฟ อาจเป็นสัญญาณของสายไฟหลวม หรือการเชื่อมต่อที่ไม่ดี
- ปลั๊กไฟหรือสวิตช์ร้อนเกินไป – หากสัมผัสแล้วร้อนมาก อาจเกิดจากการใช้กระแสไฟเกินกำลัง หรือสายไฟภายในเสื่อมสภาพ
- ไฟดูดหรือมีประกายไฟ – หากมีไฟดูดแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือเห็นประกายไฟออกจากเต้าเสียบ ควรรีบตรวจสอบทันที
- ค่าไฟเพิ่มขึ้นผิดปกติ – หากไม่ได้เพิ่มการใช้ไฟ แต่ค่าไฟสูงขึ้น อาจเกิดจากไฟรั่วหรืออุปกรณ์บางอย่างทำงานผิดปกติ
- เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานผิดปกติ – หากเครื่องใช้ไฟฟ้าดับเอง รีเซ็ตตัวเอง หรือทำงานช้ากว่าปกติ อาจเกิดจากแรงดันไฟฟ้าไม่เสถียร
- ไฟตกหรือไฟเกินบ่อยๆ – หากสังเกตเห็นว่าไฟหรี่ลงหรือสว่างผิดปกติเป็นช่วงๆ อาจเป็นสัญญาณว่าระบบไฟฟ้าภายในบ้านมีปัญหา หรือแรงดันไฟฟ้าไม่คงที่
- สายไฟเก่า แตก หรือฉนวนหลุดลอก – หากพบว่าสายไฟในบ้านเริ่มเสื่อมสภาพ มีรอยฉีกขาด หรือฉนวนป้องกันหลุดลอก ควรรีบเปลี่ยนใหม่เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วและอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
- ปลั๊กไฟหลวม หรือเสียบปลั๊กแล้วไม่แน่น – หากปลั๊กไฟหลวมจนต้องขยับสายบ่อยๆ หรือเสียบปลั๊กแล้วไม่แน่น อาจเกิดจากขั้วต่อภายในสึกหรอ เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
- มีแมลงหรือสัตว์เข้าไปในระบบไฟฟ้า – หนู มด หรือแมลงสาบที่เข้าไปกัดแทะสายไฟ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ ควรหมั่นตรวจสอบและป้องกัน
- เต้าเสียบหรือสวิตช์ไฟมีคราบเขม่าหรือรอยไหม้ – หากพบคราบดำหรือรอยไหม้บนเต้าเสียบและสวิตช์ไฟ อาจหมายถึงเกิดความร้อนสะสมหรือไฟฟ้าลัดวงจร
- ได้กลิ่นเหม็นคล้ายพลาสติกไหม้เป็นครั้งคราว – แม้จะยังไม่เห็นควันหรือไฟ แต่ถ้ามีกลิ่นไหม้ออกมาจากระบบไฟฟ้า ควรรีบปิดเบรกเกอร์และตรวจสอบโดยช่างไฟฟ้า
หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบดำเนินการแก้ไข อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะอาจก่อให้เกิดอันตราย เช่น ไฟฟ้าช็อต ไฟรั่ว หรือไฟไหม้ได้!