การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าในอาคารสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการจ่ายไฟฟ้า การดูแลระบบไฟฟ้าอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร ไฟฟ้าดับ หรืออัคคีภัย ซึ่งสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. การตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ
- การตรวจสอบเบรกเกอร์และฟิวส์: ควรตรวจสอบสภาพเบรกเกอร์และฟิวส์ว่าอยู่ในสภาพที่ดี หากพบว่ามีการทำงานผิดปกติหรือบ่อยครั้งที่ต้องรีเซ็ตเบรกเกอร์ ควรเปลี่ยนทันที
- การตรวจสอบระบบสายไฟ: สายไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกอาคารควรได้รับการตรวจสอบสภาพว่ามีการชำรุดหรือเสื่อมสภาพหรือไม่ การเสื่อมของสายไฟอาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้ได้
- การตรวจสอบแผงควบคุมไฟฟ้า (Distribution Panel): แผงควบคุมไฟฟ้าเป็นจุดสำคัญที่ต้องตรวจสอบ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อของสายไฟ และการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในแผงควบคุมว่าทำงานได้อย่างถูกต้อง
- การตรวจสอบระบบสายดิน (Grounding System): ควรตรวจสอบว่าระบบสายดินทำงานได้ดีและมีการติดตั้งอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วหรือไฟฟ้าช็อต
2. การบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง (Generator): หากอาคารมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง ควรทำการตรวจสอบและทดสอบการทำงานของเครื่องเป็นประจำ รวมถึงบำรุงรักษาเครื่องให้พร้อมใช้งานในกรณีฉุกเฉิน
- เครื่องปรับอากาศและระบบระบายอากาศ: ควรตรวจสอบและทำความสะอาดระบบไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานหนักและกินไฟมากที่สุดในอาคารสูง
- บำรุงรักษาระบบแสงสว่าง: ตรวจสอบสภาพของระบบแสงสว่างภายในและภายนอกอาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่างในกรณีฉุกเฉิน เช่น บันไดหนีไฟ และลิฟต์
3. การตรวจสอบการใช้พลังงาน
- การตรวจสอบโหลดไฟฟ้า (Load Monitoring): ตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าของอาคาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟฟ้าไม่ได้รับการใช้งานเกินพิกัด การใช้ไฟเกินพิกัดอาจทำให้เกิดการลัดวงจรหรือไฟฟ้าดับ
- การประเมินการใช้ไฟฟ้า (Energy Audit): ควรมีการตรวจสอบการใช้พลังงานของอาคารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อค้นหาวิธีการประหยัดพลังงานและปรับปรุงการทำงานของระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การบำรุงรักษาระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
- การติดตั้งและตรวจสอบระบบป้องกันไฟฟ้ารั่ว (RCD – Residual Current Device): ควรมีการตรวจสอบการทำงานของ RCD อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจาก RCD จะทำหน้าที่ตัดไฟทันทีเมื่อมีกระแสไฟฟ้ารั่ว
- การบำรุงรักษาเบรกเกอร์ป้องกันกระแสเกิน (Overcurrent Protection Devices): ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันกระแสเกิน เช่น เบรกเกอร์ว่ามีการทำงานได้ดีหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านระบบเพื่อให้แน่ใจว่าการจ่ายไฟอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย
5. การฝึกอบรมและการทดสอบแผนฉุกเฉิน
- การฝึกอบรมพนักงานในการใช้ระบบไฟฟ้า: ควรฝึกอบรมผู้ดูแลอาคารและผู้ใช้งานเกี่ยวกับการใช้ระบบไฟฟ้าอย่างปลอดภัย รวมถึงวิธีการปฏิบัติเมื่อเกิดไฟฟ้าดับหรือไฟฟ้าลัดวงจร
- การทดสอบแผนฉุกเฉิน: ควรมีการทดสอบแผนฉุกเฉินในกรณีที่ไฟฟ้าดับหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า เช่น การทดสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และการตรวจสอบเส้นทางหนีไฟ
6. การบันทึกและตรวจสอบประวัติการซ่อมบำรุง
- การบันทึกการตรวจสอบและซ่อมบำรุง: การบันทึกข้อมูลการซ่อมบำรุงและการตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถติดตามประวัติการทำงานของระบบไฟฟ้าและตรวจสอบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
- การวางแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance): การบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางไฟฟ้าก่อนที่จะรุนแรง ควรมีการวางแผนและดำเนินการตามรอบระยะเวลาที่กำหนด
การบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าในอาคารสูงเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาทางไฟฟ้า ควรปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารอย่างเคร่งครัด