สายไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญในระบบไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการส่งกระแสไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้ว สายไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้:
- ตัวนำ (Conductor):
- ทำจากโลหะที่มีความสามารถในการนำไฟฟ้าสูง เช่น ทองแดง (Copper) หรือ อลูมิเนียม (Aluminum)
- ฉนวนไฟฟ้า (Insulation):
- ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า เช่น พีวีซี (PVC), ยาง, หรือ โพลีเอทิลีน (Polyethylene) เพื่อป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลออกจากสายและป้องกันการลัดวงจร
- ปลอกหุ้ม (Sheath or Jacket):
- ชั้นนอกสุดที่ช่วยป้องกันสายไฟจากความเสียหายทางกายภาพ, น้ำ, และสารเคมี
ประเภทของสายไฟฟ้า
- สายไฟฟ้าแรงดันต่ำ (Low Voltage Cables):
- ใช้ในงานภายในอาคารและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป เช่น สายไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือน
- สายไฟฟ้าแรงดันสูง (High Voltage Cables):
- ใช้สำหรับส่งพลังงานไฟฟ้าระหว่างสถานีย่อยหรือระหว่างสถานีไฟฟ้า
- สายไฟฟ้าติดตั้งภายนอก (Outdoor Cables):
- สายไฟฟ้าที่ออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น สายไฟใต้ดินหรือสายไฟอากาศ
- สายไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Cables):
- ใช้ในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความทนทานสูง เช่น โรงงานผลิต, โรงไฟฟ้า, และอุปกรณ์หนัก
การเลือกใช้สายไฟฟ้า
- ขนาดของสายไฟ (Wire Gauge): ขนาดของสายไฟมีความสำคัญในการเลือกใช้เพราะมีผลต่อความสามารถในการนำกระแสไฟฟ้า โดยปกติจะใช้มาตรฐาน AWG (American Wire Gauge) หรือ mm²
- ความสามารถในการนำกระแสไฟ (Ampacity): ต้องเลือกสายไฟที่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้งานได้
- ความต้านทานต่อความร้อน (Temperature Rating): สายไฟแต่ละประเภทมีความสามารถในการทนทานต่อความร้อนได้แตกต่างกัน ต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน
การเลือกและติดตั้งสายไฟฟ้าอย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการป้องกันการเกิดอันตรายจากไฟฟ้า เช่น การลัดวงจร, การไฟฟ้าลัดวงจร, และไฟไหม้