อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์ ถูกพิจารณาจากระยะเวลาที่แบตเตอรี่สามารถเก็บประจุไว้ และสามารถชาร์จใหม่ได้ ซึ่งอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์โดยเฉลี่ยแล้วขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมี สิ่งที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ โดยการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับของการชาร์จไฟในแต่ละครั้ง เมื่อเวลาการใช้งานผ่านล่วงเลยไป ความจุของแบตเตอรี่จะลดลง และไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มกำลังได้อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น หลังจากชาร์จไฟ 1,000 รอบเต็ม เซลล์สามารถเก็บความจุได้ถึง 80% ของความจุเดิม แต่มันยังคงทำงานต่อไปจนกว่าความจุจะลดลงเหลือ 60% จึงทำให้ความเสี่ยงที่พลังงานแบตเตอรี่จะหมดลงได้อย่างกะทันหัน ซึ่งแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ ใช้งานปกติเป็นเวลาประมาณ 3 ปี หากถูกใช้งานเกิน 5 ปี อาจเสี่ยงทำให้พลังงานของแบตเตอรี่หมดลงกะทันหันเช่นกัน
สิ่งสำคัญต่อมาที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพลงได้ คือ สภาพอากาศที่ร้อนอย่างแผดเผา หรือแม้แต่กระทั่งเครื่องยนต์ที่มีอุณหภูมิร้อนจัด ก็สามารถทำให้ของเหลวในแบตเตอรี่ ระเหยจนทำลายเซลล์ภายใน ซึ่งจะทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลง รวมถึงการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน อาจส่งผลต่อชิ้นส่วนแบตเตอรี่ภายใน และทำให้เสียหายได้ แบตเตอรี่รถยนต์จึงต้องยึดอย่างแน่นหนาในการติดตั้ง เพื่อลดการสั่นไหวที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่สั้นลงได้อย่างรวดเร็ว และการชาร์จไฟฟ้าที่มากเกินไป อาจทำให้ของเหลวในแบตเตอรี่รั่วไหลได้ โดยขณะที่การชาร์จน้อยเกินไป ก็จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นได้ด้วยเช่นกัน และการปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์ระบายออกจนหมด ก็สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานได้อย่างมาก
เนื่องจากแบตเตอรี่รถยนต์จะชาร์จในขณะที่คุณขับรถ การปล่อยให้รถอยู่กับที่เป็นเวลานานจะทำให้ประจุหมดลง และถ้ารถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออนบอร์ดมากเท่าไหร่ แบตเตอรี่ก็จะระบายออกเร็วขึ้น เพื่อรองรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้น โดยสรุปแล้ว การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่มีบางสิ่ง ที่สามารถช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ให้ได้น้อยที่สุด เช่น หลีกเลี่ยงการชาร์จพลังงานอย่างรวดเร็วในวันที่อากาศร้อนมาก ๆ หรือ มีอุณหภูมิสภาพแวดล้อมโดยรอบสูง และขับรถอย่างระมัดระวัง รวมถึงชาร์จรถยนต์จาก 3 – 7kw ของการชาร์จทุกครั้งที่ทำได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ในระยะยาว