หลาย ๆ คนคงจะต้องเคยทำพฤติกรรมอย่างการเสียบปลั๊กของอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในครั้งต่อ ๆ ไป และก็คิดว่าแค่เสียบทิ้งไว้ มันก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอก เพราะยังไงก็ไม่ได้มีการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น ๆ อยู่แล้ว
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้า ก็ย่อมที่จะต้องเป็นอะไรอยู่แล้ว ซึ่งการเป็นอะไรที่ว่านี้ก็คือ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น ๆ เลยก็ตาม แต่เพียงแค่เราเสียบปลั๊กของอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ ก็ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้นกินค่าไฟฟ้าภายในบ้านของเราแล้ว เนื่องจากการเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้กับเต้ารับนั้น อุปกรณ์ไฟฟ้าจะยังคงส่งพลังงานไฟฟ้าให้ไหลออกไปสู่เต้ารับที่ติดตั้งอยู่บริเวณตัวบ้าน จึงทำให้การเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้ จะทำให้เราเสียค่าไฟเพิ่มมากขึ้นได้นั่นเอง และโดยเฉพาะกับอุปกรณ์ทางไฟฟ้าที่จะต้องมีการเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาอย่าง “ตู้เย็น”
จึงทำให้ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการกินไฟมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ภายในบ้าน เพราะนอกจากตู้เย็นจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นที่จะต้องเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาแล้วนั้น หากผู้ใช้งานมีพฤติกรรมที่ชอบเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ ก็จะทำให้ตู้เย็นนั้นมีการทำงานที่หนักขึ้น ส่งผลทำให้ค่าไฟฟ้าภายในบ้านอีกเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
แต่นอกจากเรื่องของการกินไฟภายในบ้านแล้ว การเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้นาน ๆ ยังส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินภายในบ้านด้วย เนื่องจากการเสียบปลั๊กไฟทิ้งเอาไว้เป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดไฟฟ้าช็อต หรือ ไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่ไปสัมผัสกับระบบไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการช็อตหรือลัดวงจรนั้น ถูกไฟช็อตหรือไฟดูดได้ และในกรณีร้ายแรงเลยก็คือ อาจจะทำให้เกิดประกายไฟขึ้นบริเวณระบบไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทีเราได้มีการเสียบปลั๊กทิ้งเอาไว้ ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้ได้
การเสียบปลั๊กไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ นอกจากที่จะทำให้เราเสียค่าไฟฟ้าเพิ่มโดยใช่เหตุแล้ว มันยังนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตัวผู้ที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินภายในบ้านอีกด้วย ดังนั้น หากเราไม่ต้องการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดใด เราก็ควรที่จะทำการถอดปลั๊กไฟออกทุกครั้ง หลังจากการใช้งาน เพื่อเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้า และเพื่อความปลอดภัยต่อตัวผู้อยู่อาศัยและทรัพย์สินภายในบ้านนั่นเอง